สิงคโปร์ - Media OutReach - 29 ตุลาคม 2564 - วันนี้ NTUC Income (Income) บริษัทรับประกันภัยรวมชั้นนำในสิงคโปร์ ได้เดินหน้าขยายสู่ตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 3 แห่ง ผ่านการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ PT Central Asia Financial (JAGADIRI) ในอินโดนีเซีย Post and Telecommunication Joint Stock Insurance Corporation (PTI) ในเวียดนาม และ VSure Tech Sdn. Bhd (VSure) ในมาเลเซีย
Andrew Yeo ซีอีโอ และ Peter Tay ประธานผู้บริหารฝ่ายข้อมูลของ Income ในพิธีลงนามข้อตกลงพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ผ่านทางออนไลน์กับตัวแทนพันธมิตร ได้แก่ Reginald Hamdani ซีอีโอของ JAGADIRI, Bùi Xuân Thu ซีอีโอของ PTI และ Eddy Wong ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งของ VSure
พันธมิตรทางธุรกิจนี้จะก่อตั้งบนโมเดลบริการประกันภัยผ่านอินเทอร์เน็ต (IaaS) ของ Income ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถนำโมเดลธุรกิจประกันภัยที่ให้ความสำคัญกับดิจิทัลเป็นหลักแก่พันธมิตรในต่างประเทศ เพิ่มความรวดเร็วในการตอบสนองทางธุรกิจ และเตรียมความพร้อมด้วยสมรรถนะและเครื่องมือที่เหมาะสมในการจับกลุ่มลูกค้าและแหล่งรายได้ใหม่ ๆ
พันธมิตรเหล่านี้จะได้ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงที่แข็งแกร่งของแบรนด์และผลงานด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของ Income เพื่อรองรับการเปิดตัวของตลาด ตลอดจนความรู้ด้านเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อกับระบบนิเวศดิจิทัลเพื่อความคล่องตัวมากขึ้นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมตามขนาดที่ต้องการเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค
นับตั้งแต่การเริ่มระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19[1] ผู้คนจำนวน 70 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นผู้บริโภคแบบดิจิทัลและทำการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิม โดยมีการคาดการณ์ว่าเกือบ 80% ของประชากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นผู้บริโภคแบบดิจิทัลภายในสิ้นปี 2564 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสัญญาณความต้องการบริโภคสินค้าผ่านทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งมากในภูมิภาค
ขนาดตลาดสำหรับประกันภัยดิจิทัลคาดว่าจะสูงถึง 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568[2] โดยมาพร้อมกับบริการทางการเงินดิจิทัลที่เริ่มดำเนินการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในรูปแบบที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจต่าง ๆ ที่สำคัญกว่านั้น การบริโภคทางดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่มีสัญญาณว่าจะลดลงเลย โดย 9 ใน 10 ของผู้บริโภคแบบดิจิทัลรายใหม่ตั้งใจที่จะใช้บริการดิจิทัลต่อไปในอนาคต3
Andrew Yeo ประธานกรรมการบริหารของ Income กล่าวว่า "การเจาะตลาดต่างประเทศของเราเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ด้านการเติบโตของรายได้ และเป็นขั้นตอนถัดไปตามแผนการเติบโตเชิงกลยุทธ์ของเรา ประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามมีศักยภาพทางการตลาดสูงมาก เนื่องจากมีประชากรที่อายุยังน้อยและการเข้าถึงอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ในอัตราที่สูง เมื่อพิจารณาจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวางสำหรับการขยายธุรกิจแล้ว ผมเชื่อว่าตลาดเหล่านี้มีความพร้อมเป็นพิเศษที่จะนำผลิตภัณฑ์ประกันภัยดิจิทัลแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีมาเสนอขาย ความหลากหลายของพันธมิตรเราในภูมิภาคเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณค่าของโมเดล IaaS และที่สำคัญกว่านั้นคือสัญญาณที่ Income จะอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกรายในเอเชีย"
Yeo กล่าวเพิ่มเติมว่า "ในฐานะบริษัทประกันภัยที่กำเนิดและเติบโตขึ้นในสิงคโปร์ เราเข้าใจดีว่าธุรกิจท้องถิ่นจะรู้จักผู้บริโภคในท้องถิ่นของตนดีที่สุด ดังนั้น การร่วมมือกับพันธมิตรเหล่านั้นจะทำให้ทุกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ การก่อตั้งพันธมิตรทางธุรกิจกับพันธมิตรในท้องถิ่นที่มีแนวคิดเหมือนกันจะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการของประชากรในเอเชียที่ให้ความสำคัญกับดิจิทัลเป็นหลักอย่างถ่องแท้ ขยายขอบเขตข้อเสนอทางการตลาดให้เร็วขึ้นผ่านระบบนิเวศของพันธมิตร และที่สำคัญที่สุดคือเชื่อมโยงประกันภัยกับลูกค้ามากขึ้นและทำให้ประกันภัยเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าเดิม เป้าหมายของ Income คือการเสริมสร้างสภาวะทางการเงินที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน และช่วยให้ผู้คนเข้าถึงประกันภัยแม้แต่ผู้ด้อยโอกาส เราตั้งใจที่จะยึดมั่นในอุดมการณ์ของเราเหมือนเดิมแม้จะมีการบุกตลาดไปยังต่างประเทศก็ตาม"
นำโมเดลธุรกิจประกันภัยเชิงนวัตรกรรมรูปแบบใหม่สู่ตลาดต่างประเทศ
นับตั้งแต่การก่อตั้งสำนักงาน Digital Transformation (DTO) เมื่อกว่า 4 ปี Income ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมและเปิดตัวโมเดลธุรกิจประกันภัยใหม่ ๆ เช่น ประกันภัยรายย่อย (SNACK) การประกันภัยการสมัครสมาชิก (TRIBE) และการประกันภัยตามการใช้งาน (Milesurance, Gigsurance และ Freightsurance)
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้นำเสนอรูปแบบใหม่ในการมีส่วนร่วมและการซื้อประกันที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามาสู่ตลาด สิ่งนี้จะสอดรับกับการเปลี่ยนกรอบความคิดด้านประกันภัยแบบเดิมและการรับรู้ต่อความเสี่ยงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ควบคู่ไปกับความหลงใหลในข้อมูล เทคโนโลยีประกันภัย และแนวทางการออกแบบและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์
Peter Tay ประธานผู้บริหารฝ่ายข้อมูลของ Income กล่าวว่า "ขณะที่เรานำนวัตกรรมประกันภัยแบบใหม่ออกสู่ตลาดนั้น เราก็สามารถผสมผสานประสบการณ์และการเรียนรู้จากการพลิกโฉมการประกันภัยทั่วทั้งห่วงโซ่คุณค่ากับโมเดล IaaS พันธมิตรระดับภูมิภาคของเราตระหนักถึงความได้เปรียบทางการแข่งขันที่สูงมากของโมเดลนี้ เนื่องจาก Income ทำให้ระบบนิเวศดิจิทัลของเราเติบโตและช่วยพัฒนาวิธีการทำงานร่วมกับพันธมิตรในระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในสิงคโปร์หรือหรือประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค ดังนั้น โมเดล IaaS จึงเข้ามามีบทบาทในการสร้างจุดแข็งของเราในฐานะบริษัทประกันผ่านระบบดิจิทัล โดยเชื่อมโยงพันธมิตรที่มีความสามารถ ความรู้ด้านเทคโนโลยี และโมเดลนวัตกรรมประกันภัยเพื่อเปลี่ยนแปลงและขยายโมเดลธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ"
Tay กล่าวเพิ่มเติมว่า "JAGADIRI, PTI และ VSure เป็นชื่อแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือในตลาดของตัวเอง เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับบริษัทเหล่านี้เข้าร่วมโมเดล IaaS ของเรา และหวังว่าจะนำผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่แปลกใหม่เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าและอุดช่องว่างการคุ้มครองในตลาดเหล่านี้ เรามั่นใจว่าโมเดล IaaS จะไม่เพียงแค่เติมเต็ม แต่จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโซลูชั่นที่มีอยู่ของพันธมิตรและเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัย โบรกเกอร์ หรือ เทคโนโลยีประกันภัย ไม่ว่าจะผ่านทางไมโครเซอร์วิสที่ใช้ API แบบ plug-and-play ที่ไร้ขอบเขตและเฉพาะเจาะจง นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ การออกแบบเส้นทางของลูกค้าที่ไร้รอยต่อ หรือความสามารถในการกำหนดราคาแบบยืดหยุ่น"
ความร่วมมือกับธุรกิจท้องถิ่นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดท้องถิ่น
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Income กับ JAGADIRI, PTI และ VSure บริษัทเหล่านี้จะเป็นบริษัทแรกในอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซียที่เปิดตัว Droplet ตามลำดับใน 4 เมือง ได้แก่ มหานครจาการ์ตา ฮานอยและนครโฮจิมินห์ รวมถึงกัวลาลัมเปอร์
Droplet เป็นผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยตัวแรกที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับจุดบอดสำคัญของผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยราคาจะพุ่งสูงขึ้นเมื่ออยู่บนแพลตฟอร์มเรียกรถรับจ้างในช่วงวันที่ฝนตก
มูลค่าตลาดรวมของบริการเรียกรถรับจ้างในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2563 คาดว่าจะอยู่ที่ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอินโดนีเซียเป็นผู้นำ (5,000 ล้านดอลลาร์) ตามมาด้วยสิงคโปร์ (2,000 ล้านดอลลาร์) เวียดนาม (1,600 ล้านดอลลาร์) และมาเลเซีย ( 1,100 ล้านดอลลาร์) และด้วยมูลค่ารวมของตลาดเรียกรถรับจ้างในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าเป็น 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2568 ความต้องการบริการเรียกรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชันจำนวนมหาศาลในหมู่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ก่อให้เกิดความต้องการประกันภัยในวันฝนตก "rainsurance" เช่น Droplet เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากการขึ้นราคาบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูมรสุม
"ไลฟ์สไตล์ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีได้เปิดโอกาสให้กับโซลูชั่นประกันภัยอย่างแท้จริง บริการเรียกรถรับจ้างและการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ Droplet คือตัวอย่างในกรณีนี้ เราเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ประกันภัยตามไลฟ์สไตล์อย่าง Droplet และจะยังคงนำแรงบันดาลใจจากจุดบอดเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และอื่น ๆ มาขับเคลื่อนนวัตกรรมต่อไป และร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เน้นดิจิทัลเป็นหลัก รวมถึงสร้างสรรค์เส้นทางของผู้บริโภคสำหรับผู้คนในภูมิภาคมากขึ้น" Peter Tay กล่าวอย่างหนักแน่น
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ droplet.sg