Henley & Partners ร่วมกับ Deep Knowledge Analytics เปิดตัวดัชนีเมืองการลงทุนเพื่อถิ่นฐานที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ (Best Residence-by-Investment Cities for Business Index) เพื่อตอบสนองต่อภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันธุรกิจและบุคลากรที่มีความสามารถต่างต้องย้ายถิ่นฐานด้วยปัจจัยต่างๆ มากมาย ตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ไปจนถึงโควิด-19 และการทำงานระยะไกล ตลอดจนข้อเสนอของกลุ่ม G20 สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำทั่วโลก

ดัชนีใหม่นี้จัดอันดับเมืองหลวงและเมืองชั้นนำ 25 แห่งทั่วโลกที่ผู้ประกอบการระดับสากล, เจ้าของบริษัท, ผู้เชี่ยวชาญ และบุคคลที่มีรายได้สูงสามารถเข้ามาพักอาศัยได้ผ่านโครงการการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน ด้วยการใช้เครื่องมือแบบอินเตอร์แอคทีฟ ผู้ใช้งานจึงสามารถเลือกปัจจัยต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อตนเองมากที่สุด เพื่อทำการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และอิงจากข้อมูลโดยรวมว่า จะตั้งสำนักงานใหญ่ไว้ที่ใด ตลอดจนผู้บริหาร พนักงาน ตนเอง และครอบครัวเหมาะจะอยู่ที่ไหนในช่วงผ่านพ้นโควิด-19

ดัชนีเมืองการลงทุนเพื่อถิ่นฐานที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ ครอบคลุมทั้ง 5 ทวีป ซึ่งได้มาจากแหล่งข้อมูลกว่า 1,000 จุด ตลอดจนพารามิเตอร์และพารามิเตอร์ย่อยมากกว่า 40 รายการ เพื่อจัดอันดับเมืองตาม 10 หมวดหมู่หลักที่สะท้อนถึงปัจจัยการพิจารณาย้ายถิ่นฐานที่สำคัญที่สุด ซึ่งได้แก่ ไลฟ์สไตล์, ภาษี, การศึกษา, อสังหาริมทรัพย์, การดูแลสุขภาพ, การรักษาความปลอดภัย, โครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นคง ตลอดจนความปลอดภัยเกี่ยวกับโควิด-19 และโครงการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐานที่เกี่ยวข้อง

Dr. Parag Khanna ผู้ก่อตั้ง FutureMap และผู้แต่งหนังสือ MOVE: The Forces Uprooting Us ที่กำลังจะวางแผงนั้น กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ประเทศต่างๆ เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำอย่างมากในด้านความมั่งคั่งและวัฒนธรรม การให้ความสำคัญกับเมืองชั้นนำต่างๆ มากกว่าตัวประเทศนั้นจึงเป็นเรื่องน่ายินดี "การเชื่อมต่อทางเทคโนโลยีได้สร้างเส้นทางการเคลื่อนไหวใหม่ให้กับผู้คนนับล้าน แม้ว่าเรากำลังพัฒนาไปสู่โลกที่มีการทำงานในระบบคลาวด์มากขึ้น ผู้แต่บริหารและพนักงานก็ยังคงต้องมีถิ่นฐานอยู่เป็นหลักแหล่ง และเนื่องจากความเสี่ยงหลากหลายประการที่ธุรกิจต้องเผชิญ ตั้งแต่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ไปจนถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พวกเขาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่า จะขยายธุรกิจหรือย้ายไปอยู่ที่ใดดี ตลอดจนการแสวงหาศูนย์กลางที่มอบความน่าเชื่อถือในระดับสูงสำหรับความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ที่หลากหลาย"

เมืองการลงทุนเพื่อถิ่นฐานชั้นนำ 5 อันดับแรกได้แก่ ลอนดอน (อันดับที่ 1), นิวยอร์ก (อันดับที่ 2), ซิดนีย์ (อันดับที่ 3), สิงคโปร์ (อันดับที่ 4) และซูริก (อันดับที่ 5) ทั้งหมดได้คะแนนสูงสุดในด้านความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐาน และความมั่นคง โดยที่ซิดนีย์ครองอันดับหนึ่งด้านความปลอดภัยโดยรวม

เมืองที่คว้าคะแนนสูงสุดในแง่ของข้อเสนอโครงการลงทุนเพื่อย้ายถิ่นฐาน ได้แก่ เวียนนา (อันดับที่ 9) และลิสบอน (อันดับที่ 14) ตามด้วยโรม (อันดับที่ 16), ซูริก (อันดับที่ 5) และเอเธนส์ (อันดับที่ 20)

Dr. Juerg Steffen ซีอีโอของ Henley & Partners กล่าวว่า ดัชนีนี้มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาการลงทุนย้ายถิ่นฐานเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ในแง่ของการหาทำเลที่อยู่อาศัยสำหรับตัวเองและครอบครัว เพื่อให้สามารถทำงาน ศึกษา และลงทุนได้ "โครงการลงทุนเพื่อถิ่นฐานได้มอบช่องทางและทางเลือกให้พลเมืองและผู้อยู่อาศัยสามารถหลีกเลี่ยงความผันผวน และใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ๆ ในช่วงที่โลกเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19"

หากประเมินในแง่ของความคุ้มค่าแล้ว ดูไบ (อันดับที่ 11), ริกา (อันดับที่ 17), ลิมาซอล (อันดับที่ 19), กรุงเทพฯ (อันดับที่ 23) และพอร์ตหลุยส์ (อันดับที่ 24) ล้วนเสนอทางเลือกในการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อภาษี ราคาไม่แพง และมีมาตรฐานการครองชีพสูงซึ่งเหมาะสำหรับการลงทุนย้ายถิ่นฐาน

Dominic Volek ประธานกลุ่มฝ่ายลูกค้ารายบุคคลของ Henley & Partners กล่าวว่า ประเด็นสำคัญจากดัชนีเมืองการลงทุนเพื่อถิ่นฐานที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจคือมีโอกาสมากมายสำหรับบุคคลที่ร่ำรวยและมีความสามารถซึ่งกำลังพิจารณาที่จะย้ายถิ่นฐานในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 "นอกจากการหาทางเลือกที่พักอาศัยใหม่สำหรับครอบครัวแล้ว นักลงทุนต่างพิจารณาย้ายธุรกิจของตนมากขึ้นเรื่อยๆ แนวโน้มนี้เกิดขึ้นก่อนเกิดโรคระบาด แต่ปัจจุบันได้เร่งความเร็วขึ้น ทั้ง 25 เมืองต้อนรับนักลงทุนต่างชาติในเชิงรุก และในขณะที่บางเมืองเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ซึ่งแต่ละเมืองก็มีจุดแข็งและน่าดึงดูดต่างกันไป"