ในการสัมมนาออนไลน์เมื่อไม่นานมานี้ ทิโมธี แฮร์ริส นายกรัฐมนตรีสหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิส ได้กล่าวถึงความสำเร็จของโปรแกรมการลงทุนเพื่อขอสัญชาติของสหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิส ทั้งบนเกาะและในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ เซนต์คิตส์และเนวิสเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มโปรแกรมการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ (CBI) ในปีพ.ศ. 2527 และดำเนินโครงการมายาวนานที่สุดในโลก โดยเปิดโอกาสให้ต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยตรงผ่านทางกองทุน Sustainable Growth Fund ซึ่งจัดตั้งขึ้นในปี 2561 โดยถือเป็นช่องทางการขอสัญชาติที่สองที่รวดเร็วและง่ายดายที่สุด
นายกรัฐมนตรีแฮร์ริสระบุว่า โปรแกรม CBI มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ โดยช่วยให้รัฐบาลสามารถพัฒนาภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม ทั้งการศึกษา โทรคมนาคม ที่อยู่อาศัย และการบิน นอกจากนี้ เซนต์คิตส์และเนวิสยังริเริ่มโครงการบรรเทาความยากจนโดยใช้เงินที่ได้มาจากโปรแกรม CBI เพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ ด้วยการสนับสนุนค่าครองชีพ 500 ดอลลาร์ต่อเดือน ยิ่งไปกว่านั้น ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โปรแกรม CBI ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงประเทศ
นอกเหนือจากการช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่องแล้ว โปรแกรม CBI ยังพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา จนได้รับการยอมรับว่าเป็น "มาตรฐานระดับแพลทินัม" ของอุตสาหกรรมการลงทุนเพื่อขอสัญชาติ โดยนายกรัฐมนตรีแฮร์ริส กล่าวว่า "การอยู่รอดในอุตสาหกรรมมานานกว่า 30 ปีไม่ใช่ความสำเร็จเพียงเล็กน้อย เรามีประวัติอันยาวนาน เราอยู่ในอุตสาหกรรมมานานกว่า เราเข้าใจตลาดมากกว่า และเราก้าวขึ้นเป็นโปรแกรมที่ทันสมัยที่สุดและตอบสนองได้ดีที่สุดในตลาด ด้วยความสำเร็จเหล่านี้ เราภูมิใจอย่างยิ่งในสิ่งที่เราเป็น นั่นคือ การเป็นแบรนด์ระดับแพลทินัมที่มีประวัติยาวนานที่สุดและยอดเยี่ยมที่สุด เราแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและทุกคนในประเทศของเรา"
ผู้ที่ได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโปรแกรมการลงทุนเพื่อขอสัญชาติของสหพันธรัฐเซนต์คิตส์และเนวิส สามารถเดินทางไปยัง 156 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ทั้งยังมีทางเลือกในการลงทุน และสามารถส่งต่อสัญชาติให้ลูกหลาน จึงถือเป็นมรดกแห่งอนาคตสำหรับคุณและครอบครัว